วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

วิธีการเรียนให้เก่ง อย่างมีประสิทธิภาพเป็นการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนได้รับความรู้สูงสุด

การเรียนแบบนี้จะทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนได้อย่างรู้ลึก รู้กว้าง รู้รอบ และรู้ไกล จนกลายเป็นผู้ที่มีความฉลาดรอบรู้ หรือที่เรียกกันว่า "พหูสูต" การเป็นพหูสูต ใครๆก็สามารถเป็นได้ หากรู้จักวิธีการเรียนรู้อย่างถูกต้อง ซึ่งวิธีการเรียนรู้ แบบพหูสูตเพื่อให้การเรียนของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้นมีวิธีการดังต่อไปนี้
วิธีการเรียนให้เก่ง ต้อง ปูพื้นฐานการเรียนที่ดี
การปูพื้นฐานการเรียนที่ดีคือ การรู้จักฝึกฝนตนให้เป็นคนที่ใฝ่หาความรู้ รักการอ่านหนังสือ รู้จักคิด รู้จักพัฒนาตนเอง หาความก้านหน้าในชีวิต มีความอดทน ขยัน แน่วแน่ และรู้จักวางแผนจัดการชีวิตของตนเอง บางคนอาจจะไม่ได้มีโอกาสเรียนหนังสือในโรงเรียน แต่ความรู้มิใช่หาได้แต่เพียงในโรงเรียนเท่านั้น คนไม่ได้เรียนในระบบโรงเรียน อาจจะมีความรู้เท่าหรือมากกว่าผู้ที่ได้รับการศึกษาจากโรงเรียนเสียอีก เพราะความใฝ่รู้ช่วยให้คนประสบความสำเร็จได้เช่นกัน
วิธีการเรียนให้เก่ง ต้อง รู้หน้าที่ มีวินัย และความรับผิดชอบ
คนที่จะเป็นคนฉลาดรอบรู้จะต้องเป็นคนที่รู้จักหน้าที่ตนเองเมื่อรู้ว่าตนเองเป็นนักเรียน ก็ควรศึกษาเล่าเรียนอย่างเต็มที่ ตั้งใจเรียนอย่างสุดความสามารถ และรู้จักค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ
นอกจากรู้หน้าที่แล้วควรจะมีวินัยและความรับผิดชอบสามารถควบคุมความประพฤติของตนเองให้ทำในสิ่งที่ควรกระตือรือร้นที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง
วิธีการเรียนให้เก่ง ต้อง ตั้งเป้าหมายในการเรียน
การตั้งเป้าหมายในการเรียน เป็นพื้นฐานในการพัฒนาความเจริญก้าวหน้าในชีวิต และการสร้างความสุขในอนาคต คุณลองตั้งคำถามว่า คุณอยากจะเรียนอะไร เรียนเพื่ออะไร ทำไมถึงอยากเรียนสิ่งนั้น
เมื่อหาคำตอบให้ตนเองได้แล้ว คุณจะสามารถแสวงหาความรู้พัฒนาความสามารถ พากเพียรพยายามมาให้ได้ถึงสิ่งที่ตั้งเป้าไว้ เช่นคุณอยากจะเป็นวิศวกร คุณก็ต้องเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ การที่จะเป็นวิศวกรที่เก่งจะต้องรู้จักฝึกฝนตนเอง ฝึกฝนวิชาต่างๆ โดยเฉพาะวิชาคำนวณ รู้จักสร้างสรรค์ มีจินตนาการ เป็นต้น
วิธีการเรียนให้เก่ง ต้อง เรียนด้วยสติและสมาธิ
การเรียนเพื่อให้ได้ประโยชน์จากการเรียนสูงสุด ต้องอาศัยทั้งสติและสมาธิเป็นที่ตั้ง การมีสติคือการควบคุมจิตใจให้อยู่กับสิ่งที่ตนกำลังทำ มีความตั้งใจแน่วแน่ รู้ว่ากำลังทำอะไร และขจัดความคิดที่ไม่ต้องการออกไป เพื่อให้เกิดสมาธิ หรือการจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เมื่อเกิดสมาธิ ปัญญาก็จะตามมา คือสามารถรับรู้ และคิดตามจนเกิดเป็นความเข้าใจ สามารถนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ได้
การเรียนที่ขาดสติจะทำให้จิตใจฟุ้งซ่าน คิดถึงแต่เรื่องอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ตนกำลังเรียน เมื่อขาดสติ ย่อมขาดสมาธิ และไร้ซึ่งปัญญา หากอยากเป็นคนที่เรียนเก่งเรียนดีจะต้องรู้จักฝึกการมีสติและสมาธิอยู่เสมอ
วิธีการเรียนให้เก่ง ต้อง ค่อยๆ เรียนรู้ ทำซ้ำ และลงมือทำ
เคล็ดลับที่จะช่วยให้การเรียนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นคือ การเรียนรู้แบบสะสม การตอกย้ำทำซ้ำ และลงมือทำให้เสร็จ
การอ่านหนังสือควรอ่านแบบสะสมองค์ความรู้ ไม่ใช่โหมอ่านก่อนสอบ และต้องรู้จักทบทวนตำรับตำรา ทำแบบฝึกหัดบ่อยๆ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เรียนแล้วต้องนำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ อย่าเป็นนักเรียนที่เก่งเพียงแต่ตำรา แต่จงเป็นคนที่เก่งทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติด้วย
วิธีการเรียนให้เก่ง ต้อง ศึกษาด้วยตนเอง
ระบบการเรียนการสอนในเมืองไทย คุณครูมีหน้าที่ป้อนความรู้ให้ผู้เรียนแต่เพียงฝ่ายเดียว ทำให้ผู้เรียนเกิดความเคยตัว ไม่รู้จักค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง เพียงแต่มานั่งในห้องเรียนแล้วเอาความรู้จากผู้เป็นครูเท่านั้น วิธีการเรียนแบบนี้จำกัดความคิดและการเรียนรู้อย่างมากเพราะผู้เรียนจะคิดเองไม่เป็น
ดั้งนั้นหากคุณอยากเป็นนักเรียนที่มีคุณภาพ จะต้องรู้จักค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง ต้องฝึกสังเกต จดจำ และบันทึก หากไม่เข้าใจอะไรจึงค่อยมาถามครู หรือค้นคว้าตามแหล่งเรียนรู้ต่างๆ
วิธีการเรียนให้เก่ง ต้อง เข้าใจแจ่มแจ้ง
การเรียนแบบเข้าใจแจ่มแจ้ง คือการทำความเข้าใจในบทเรียนแบบทะลุปรุโปร่งจนสามารถนำไปปฏิบัติได้ การจะเรียนให้เข้าใจต้องตั้งใจฟัง ตั้งใจจำ จับสาระสำคัญให้ได้ รู้จักท่องและคิดหาเหตุผลตามหากเกิดข้อสงสัย อย่างละทิ้ง ให้ซักถามหรือหาข้อมูลจนกว่าข้อสงสัยจะคลี่คลายลง ต้องเรียนให้เข้าใจให้จงได้ ถ้ายิ่งวิชายากๆ ยิ่งต้องใส่ใจให้มากขึ้น
เมื่อเข้าใจจนแจ่มแจ้งแล้วจึงเริ่มต้นเรียนบทเรียนใหม่ต่อไป เมื่อเราสามารถทำความเข้าใจทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติผลสุดท้ายเราก็จะสอบได้คะแนนดี
วิธีการเรียนให้เก่ง ต้อง เรียนรู้จากข้อผิดพลาด
ถ้าต้องการจะเป็นคนเรียนเก่งจะต้องรู้จักนำข้อผิดพลาดของตนเองมาวิเคราะห์ถึงสาเหตุ จงเรียนเพราะว่าคุณอยากรู้จริงๆ และต้องการพัฒนาตัวเอง รู้จักเรียนรู้จากสิ่งผิดพลาดนั้นๆ เช่น กรณีที่คุณทำการบ้านผิด ให้คุณนำการบ้านที่ผิดนั้นมาพิจารณาว่าเกิดความผิดพลาดจากตรงไหน และหาวิธีแก้ไขให้ถูกต้อง เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดซ้ำสอง ถ้ายังผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก นั่นหมายความว่าคุณขากการเอาใจใส่ ไม่รู้จักปรับปรุงตัวเอง หากรู้จักนำข้อบกพร่องมาแก้ไขปรับปรุงมันจะกลายเป็นบทเรียนที่มีค่าที่ช่วยให้คุณเรียนและจำได้ดีขึ้น
วิธีการเรียนให้เก่ง ต้อง หาความรู้นอกห้องเรียน นอกตำรา
แนวความคิดในการเรียนการสอนในโรงเรียน มหาวิทยาลัย เป็นการเรียนรู้ที่มุ่งให้ผู้เรียนได้รู้จักคิดเองเป็น รู้จักลงมือปฏิบัติได้จริง ไม่ใช้เป็นการเรียนที่ครูบอกซ้ำไปซ้ำมา หรือทำตามที่หนังสือบอกเอาไว้ อย่าจำกัดตัวเองด้วยการเรียนในห้องเรียนหรือในตำรา ความรู้นั้นอยู่รอบตัวเรา คุณจะต้องใฝ่รู้ถึงจะเป็นผู้รอบรู้ ลองหาวิธีไปเดินเล่นที่พิพิธภัณฑ์ หรือห้องสมุดแห่งชาติ หรือหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต หอดูดาว เป็นต้น เพื่อขยายองค์ความรู้ของคุณให้กว้างขึ้น
วิธีการเรียนให้เก่งเกรด ต้อง ไม่ใช่คำตอบของการเรียน
ผลการเรียนเป็นแรงจูงใจสำหรับนักเรียนส่วนใหญ่ ทุกคนอยากได้เกรด A หรือเกรด 4 ด้วยกันทั้งนั้น แต่เกรดนั้นไม่ได้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต มันเป็นเพียงตัวเลขที่วัดประสิทธิภาพหรือการเอาใจใส่ในการเรียนของคุณเท่านั้น ไม่ได้เป็นตัวชี้ว่าคุณโง่ หรือคุณล้มเหลว
ลองเปลี่ยนแรงจูงใจเรื่องเกรดมาเป็นความคิดที่ว่า สิ่งที่คุณเรียนนั้นจะทำให้คุณมีความรู้มากขึ้น ด้วยการเรียนในสิ่งที่ทำให้คุณมีความรู้เพิ่มจะทำให้คุณฉลาดขึ้น มีวิสันทัศน์หรือมุมมองใหม่ๆ เมื่อคุณมีแรงจูงใจในสิ่งที่คุณเรียน คุณก็จะทำข้อสอบได้ เมื่อทำข้อสอบได้ผลการเรียนของคุณก็จะดีตามมาเอง
วิธีการเรียนให้เก่ง ต้อง เรียนแบบฉลาด
เรียนแบบฉลาดคือ การเรียนที่รู้จักแบ่งเวลา หลังจากที่ตั้งใจเรียนที่โรงเรียนมาตลอดทั้งวัน เมื่อกลับถึงบ้านให้หาเวลาทำการบ้าน ทบทวนตำราให้เสร็จสิ้น เพื่อที่จะนำเวลาที่เหลือไปทำกิจกรรมอื่นๆ ได้อีก
นักเรียนที่มีคุณภาพไม่จำเป็นต้องนั่งทำการบ้านหรือทบทวนตำราจนดึกดื่นจนไม่ได้เป็นอันทำอะไร นักเรียนที่มีคุณภาพต้องรู้จักแบ่งเวลา เวลาไหนควรเรียน เวลาไหนควรเล่น การเรียนแบบนี้ถึงจะเรียกว่าการเรียนแบบฉลาด
วิธีการเรียนให้เก่ง ต้อง ทำเรื่องเรียนให้เป็นเรื่องสนุก
การเรียนให้มีประสิทธิภาพต้องรู้จักคิดบวก อย่าคิดว่าการเรียนเป็นเรื่องน่าเบื่อ แต่ให้คิดว่าการเรียนเป็นเรื่องสนุก เมื่อสนุกกับการเรียนก็จะทำให้เรียนอย่างมีความสุข ผลการเรียนน่าพอใจ ส่วนวิชาที่ยาก คิดเสียว่ามันเป็นความท้าทาย เอาชนะวิชาที่ยากให้ได้ อะไรที่ไม่รู้ก็ทำให้มันรู้ให้เข้าใจ วิชาไหนที่น่าเบื่อไม่ยากเรียน ลองเปลี่ยนความน่าเบื่อให้เป็นความอยากรู้อยากเห็น สร้างแรงกระตุ้นให้สมองได้คิดตาม เพียงเท่านั้นเรื่องเรียนก็จะเป็นเรื่องสนุกและง่ายขึ้น
วิธีการเรียนให้เก่ง ต้อง นำความรู้ไปใช้ประโยชน์
เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินสุภาษิตที่ว่า มีความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด คนที่มีความรู้มากมายก่ายกองแต่ไม่สามารถนำความรู้มาใช้ประโยชน์ได้ ถือว่าผู้นั้นไม่ได้เรียนอย่างมีประสิทธิภาพ คนที่เรียนอย่างมีประสิทธิภาพจะต้องรู้จักนำความรู้ที่ตนได้ศึกษาเล่าเรียนไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ สามารถนำไปประกอบอาชีพสุจริตเพื่อเลี้ยงชีพ ทำให้ตนมีความสุขตามอัตภาพ และสามารถนำไปพัฒนาชีวิตให้มีความสุขยิ่งๆ ขึ้นไป
ที่มา http://bloxabout.com/

นำระบบซ้ำชั้นกลับมาใช้ผู้ปกครองชี้ทำให้เด็กเครียด

โพลล์ระบุผู้ปกครองไม่ถึงครึ่งเห็นด้วยให้นำระบบซ้ำชั้นกลับมาใช้ มากกว่าครึ่งระบุอาจทำให้เด็กเครียด แต่ร้อยละ 51.38 ยอมรับจะทำให้เด็กมีความกระตือรือร้นมากขึ้น

ศ.ดร. ศรีศักดิ์ จามรมาน ประธานกรรมการ ,ดร.พิสิฐ พฤกษ์สถาพร กรรมการรองผู้อำนวยการ และอาจารย์วัฒนา บุญปริตร กรรมการรองผู้อำนวยการสำนักวิจัยสยามเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตโพลล์ วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม (ระดับอุดมศึกษา) แถลงผลการสำรวจความคิดเห็นของผู้ปกครองในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลต่อนโยบายการนำเอาระบบซ้ำชั้นของเด็กนักเรียนกลับมาใช้

ศ.ดร. ศรีศักดิ์กล่าวว่า เมื่อต้นเดือนธันวาคม พ.ศ. 2558 ที่ผ่านมาได้ปรากฎข่าวจากกระทรวงศึกษาธิการว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการมีการพูดถึงแนวคิดการพิจารณานำเอาระบบซ้ำชั้นของเด็กนักเรียนกลับมาใช้อีกครั้งหนึ่งเพื่อเป็นการยกระดับคุณภาพของเด็กนักเรียนที่จบการศึกษาให้สูงขึ้นรวมถึงแก้ปัญหาเด็กนักเรียนที่ยังไม่มีความพร้อมในการเข้าศึกษาในระดับชั้นที่สูงขึ้นต่อไป ทั้งนี้ในอดีตเคยมีการใช้ระบบซ้ำชั้นในกรณีที่เด็กนักเรียนมีผลการเรียนไม่ผ่านตามที่กำหนดหรือนักเรียนยังไม่มีความพร้อมในการเรียนในระดับชั้นที่สูงขึ้น จากข่าวดังกล่าว พ่อแม่ผู้ปกครองในฐานะผู้ที่มีความใกล้ชิดกับเด็กนักเรียนมากที่สุดน่าจะมีโอกาสได้แสดงความคิดเห็นในประเด็นดังกล่าวเพื่อเป็นข้อมูลส่วนหนึ่งสะท้อนให้กับสังคมได้รับทราบ
ดังนั้นสำนักวิจัยสยามเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตโพลล์จึงได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้ปกครองในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลต่อนโยบายการนำเอาระบบซ้ำชั้นของเด็กนักเรียนกลับมาใช้ โดยได้ดำเนินการสำรวจระหว่างวันที่ 17 ถึง 21 มกราคม พ.ศ. 2559

โดย ศ.ดร. ศรีศักดิ์ กล่าวต่อว่า จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 1,125 คน เป็นเพศหญิงร้อยละ 51.73 และร้อยละ 48.27 เป็นเพศชาย กลุ่มตัวอย่างร้อยละ ร้อยละ 26.93 และร้อยละ 23.11 มีอายุเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 36 ถึง 40 ปีและ 41 ถึง 45 ปีตามลำดับนั้น สามารถสรุปผลได้ดังนี้
ในด้านความรับรู้เกี่ยวกับแนวคิดการพิจารณานำเอาระบบซ้ำชั้นกลับมาใช้กับเด็กนักเรียน กลุ่มตัวอย่างมากกว่าครึ่งหนึ่งซึ่งคิดเป็นร้อยละ 56.27 ทราบ/ได้ยินข่าวเกี่ยวกับการมีแนวคิดที่จะพิจารณานำเอาระบบซ้ำชั้นกลับมาใช้กับเด็กนักเรียนอีก ขณะที่กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 43.73 ไม่ทราบ/ไม่เคยได้ยินข่าว ขณะเดียวกันกลุ่มตัวอย่างเกือบสามในสี่หรือคิดเป็นร้อยละ 74.13 ระบุว่าในอดีตตนเองไม่เคย/ไม่มีเพื่อนหรือคนรู้จักที่เคยถูกพิจารณาให้ต้องซ้ำชั้นในการเรียน ขณะที่กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 25.87 ยอมรับว่าตนเองเคยหรือมีเพื่อน/คนรู้จักเคยถูกพิจารณาให้ซ้ำชั้นในการเรียน
ส่วนความคิดเห็นต่อการนำเอาระบบซ้ำชั้นกลับมาใช้นั้น กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 46.22 เห็นด้วยที่จะนำเอาระบบซ้ำชั้นกลับมาใช้กับเด็กนักเรียนในกรณีที่นักเรียนผู้นั้นยังไม่มีความพร้อมที่จะเข้าเรียนในระดับชั้นที่สูงขึ้นต่อไป ขณะที่กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 41.69 ไม่เห็นด้วย ส่วนกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 12.09 ไม่แน่ใจ หากนำเอาระบบซ้ำชั้นกลับมาใช้ใหม่ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่คิดเป็นร้อยละ 44.07 มีความคิดเห็นว่าโรงเรียนควรเปิดโอกาสให้นักเรียนได้สอบซ่อมในวิชาที่มีผลการเรียนตกก่อน 1 ครั้งจึงจะพิจารณาให้ซ้ำชั้น รองลงมาควรเปิดโอกาสให้สอบซ่อม 2 ครั้งซึ่งคิดเป็นร้อยละ 30.4 ขณะที่กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 9.87 มีความคิดเห็นว่าควรเปิดโอกาสให้สอบซ่อม 3 ครั้ง แต่อย่างไรก็ตามมีกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 15.02 มีความคิดเห็นว่าไม่จำเป็นต้องให้สอบซ่อมเลย
ขณะเดียวกันกลุ่มตัวอย่างเกือบครึ่งหนึ่งซึ่งคิดเป็นร้อยละ 49.78 มีความคิดเห็นว่าการนำเอาระบบซ้ำชั้นกลับมาใช้จะมีส่วนช่วยยกระดับคุณภาพของเด็กนักเรียนที่จบการศึกษาในระดับภาคบังคับให้สูงขึ้นได้ ส่วนกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 51.38 มีความคิดเห็นว่าการนำเอาระบบซ้ำชั้นกลับมาใช้จะมีส่วนช่วยกระตุ้นให้เด็กนักเรียนมีความกระตือรือร้นในการเรียนเพิ่มมากขึ้นได้ แต่อย่างไรก็ตามกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 57.6 มีความคิดเห็นว่าการที่เด็กนักเรียนถูกซ้ำชั้นจะมีส่วนทำให้เด็กนักเรียนผู้นั้นเกิดความเครียดในการใช้ชีวิตเพิ่มขึ้น และกลุ่มตัวอย่างมากกว่าครึ่งหนึ่งซึ่งคิดเป็นร้อยละ 58.58 มีความคิดเห็นว่าหากเด็กนักเรียนต้องถูกซ้ำชั้นจะส่งผลให้พ่อแม่ผู้ปกครองต้องมีค่าใช้จ่ายทางด้านการศึกษาเพิ่มมากขึ้น ศ.ดร. ศรีศักดิ์กล่าว 
.............................

6 ประโยคบอก “ขอโทษ” แม้จะโกรธยังต้องซึ้ง

ปลายปีที่ผ่านมามีเรื่องที่ถือว่าเป็นที่พูดถึงกันทั่วโลก พิธีกรงานประกวดนางงามจักรวาลประกาศผลผู้ชนะผิด ทำให้เกิดความวุ่นวายและคนวิจารณ์กันไปต่างๆนาๆ หลังจากเหตุการณ์พิธีกรได้ออกมากล่าวขอโทษผ่านทางTwitter ตนเองว่า
I'd apologize wholeheartedly to Miss Colombia & Miss Philippines 
for my huge mistake. I feel terrible. 
(ฉันอยากจะกล่าวคำขอโทษอย่างสุดซึ้งจากก้นบึ้งของดวงใจถึงมิสโคลอมเบียและมิสฟิลิปปินสำหรับความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ของฉัน...ฉันรู้สึกแย่มากๆ)
ขออนุญาตยกเป็นตัวของการขอโทษที่ไม่ได้ใช้คำว่า sorry เลย งั้นเราลองไปดูกันค่าว่ามีอะไรอีกบ้าง
I (do) apologize 
(อาย - อะ - พ๊อ - เลอะ - จ่ายส์)
ประโยคคลาสสิคที่ใช้ขอโทษซึ่งคำนี้เป็นทางการ สามารถใช้ได้กับทุกคนเลย เวลาที่เราอยากจะขอโทษใครซักคนกับสิ่งที่เราทำผิดไป
How sad for you it happened 
(ฮาว - แซ่ด - เฟอร์ - ยูว - อิท - แฮ๊ป - เผิ่นด์)
ชั้นรู้สึกเสียใจแทนคุณด้วยกับสิ่งที่เกิดขึ้น
I cannot express how sad I am 
(อาย - แคน - น่อท - เอกซ์ - เพร่ส - ฮาว - แซด - อาย - แอม)
ชั้นเสียใจมากจนไม่รู้จะแสดงความเสียใจนั้นออกมายังไง
It's unfortunate that it happened 
(อิทส์ - อัน - ฟอร์ - จู - เน่ท - แดท - อิท - แฮพ - เผิ่นด์)
โชคไม่ดีเลยเนอะที่มันเป็นแบบนี้
Please forgive me about that 
(พลีส - เฟอร์ - กีฟ - มี - อะเบาท์ - แดท)
ได้โปรดอภัยชั้นด้วยกับสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น...ผิดไปแล้ว
I made a stupid mistake 
(อาย - เมด - ดะ - สติว - ปิด - มิส - เต่ค)
สิ่งที่ชั้นทำลงมันเป็นความผิดที่โง่มากเลย
เป็นไงคะการขอโทษที่ไม่ต้องพึ่งคำว่า sorry เลย การที่เราทำอะไรผิด เราก็ควรจะขอโทษอย่ามัวแต่โทษใครจงลองมองตัวเราให้ดีสุดท้ายนี้น้องมายด์อยากฝากไว้ว่า It's never too late to say sorry"
ที่มา www.mindenglish.net

ลูกเทพหลบไป! บาร์บี้ ออกตุ๊กตาสะท้อน ‘รูปร่างที่หลากหลาย’ดึงความมั่นใจผู้หญิง


สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานเมื่อวันที่ 28 มกราคมที่ผ่านมา ระบุว่า บริษัทแมทเทล บริษัทผู้ผลิตตุ๊กตาบาร์บี้ เตรียมวางจำหน่ายตุ๊กตาบาร์บี้ที่มีรูปร่างต่างๆ กันเช่นผอม อวบ สูง จากเดิมที่บาร์บี้มีรูปร่างผอมบางอย่างมากและมักถูกล้อเลียนอยู่เป็นประจำ ในความพยายามเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้หญิงที่มีรูปร่างแตกต่างกันในโลกแห่งความจริง
บริษัท แมทเทล ประกาศการผลิตตุ๊กตาล็อตใหม่ผ่านทางเว็บไซต์ของบริษัท และผ่านบทความในนิตยสารไทม์ ในชื่อเรื่อง "ตอนนี้เราจะหยุดพูดเรื่องรูปร่างของฉันได้หรือยัง"
ทาเนีย มิสซาด ผู้อำนวยการฝ่ายมุมมองลูกค้าที่มีต่อตุ๊กตา ระบุผ่านวิดีโอที่เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์บาร์บี้ ระบุว่า เราต้องทำให้ผู้หญิงรู้ว่าทุกอย่างสามารถเป็นไปได้ และมันไม่สำคัญว่าคุณจะมีรูปร่างอย่างไร
แมทเทล ระบุว่าตุ๊กตาที่จะผลิตออกมาใหม่จะมาพร้อมกับรูปร่าง 4 แบบ สีผิว 7 แบบ สีตา 22 สี และทรงผม 24 ทรง โดยจะมีตุ๊กตาบาร์บี้ 33 แบบที่จะถูกเปิดตัวออกมา
การผลิตตุ๊กตาล็อตใหม่ดังกล่าวมีขึ้น 1 ปีหลังจากแมทเทล เปิดตัวบาร์บี้ที่มีข้อเท่าที่สามารถขยับได้ทำให้ตุ๊กตาสามารถใส่รองเท้าที่ไม่ใช่รองเท้าส้นสูงได้เป็นครั้งแรก ก่อนที่เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาบริษัทจะเริ่มผลิตตุ๊กตาที่มีสีผิว สีตา ทรงผมให้เลือกมากขึ้นกว่าเดิม
ทั้งนี้ การผลิตตุ๊กตาเซ็ตล่าสุดมีขึ้นหลังในช่วงปีที่ผ่านมา แมทเทลถูกวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับตุ๊กตาบาร์บี้ ที่มีสัดส่วนที่ไม่สมจริง ทำให้เกิดความกังวลว่าตุ๊กตาอาจส่งผลให้ผู้หญิงพยายามทำตามมาตรฐานของความสวยงามที่เป็นไปไม่ได้ โดยผลการสำรวจเมื่อปี 2549 พบว่าผู้หญิงที่เคยมีตุ๊กตาบาร์บี้มีน้ำหนักน้อยกว่าและมีความต้องการที่จะมีรูปร่างผอมลง มากกว่าผู้หญิงที่มีตุ๊กตาที่มีรูปร่างแบบอื่นๆ หรือไม่มีตุ๊กตาเลย

กระตุ้น'ค้นหาตัวตน' คิดก้าวหน้าบนทาง'สร้างสรรค์

ทุกวันนี้การเรียนรู้ไม่จำกัดเฉพาะในห้องเรียนเท่านั้น เทคโนโลยีที่ก้าวไกลทำให้คนสามารถค้นหาความรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา และเมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไป สิ่งต่อไปที่ต้องตามให้ทันคือ "ทรัพยากรบุคคล"
อนาคตของ "อุตสาหกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์" จึงถูกจับตามองอย่างมาก แต่ทั้งนี้ยังมีปัจจัยอีกหลายประการที่บดบังจินตนาการสร้างสรรค์ที่ "รอวันฉายแสง" เช่น การขาดโอกาสหรือขาดผู้แนะแนวทางอาชีพที่ยังเป็นปัญหาทำให้เด็ก "หลงทาง" ในการ
สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) หรือ OKMD ร่วมกับศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) อุทยานการเรียนรู้ทีเค ปาร์ค และมิวเซียมสยาม แถลงข่าวเปิดตัว โครงการคิดก้าวหน้า : เตรียมความพร้อมเยาวชนไทยสู่ตลาดแรงงานสร้างสรรค์ ที่เซ็นทรัลเวิลด์
เกรียงไกร ศุภรสหัสรังสี ผู้จัดการทั่วไป Imagimax กล่าวว่า คิดก้าวหน้าคือการนำความคิดมาสร้างมูลค่าเพิ่มหรือการคิดต่อยอดไปให้ไกลกว่าวันพรุ่งนี้ อย่างพื้นฐานของการออกแบบคือมุ่งแก้ปัญหา จะทำอย่างไรให้สินค้ามีการตอบสนองผู้ใช้งานมากขึ้น
ด้าน ชุติมา ชินอานุภาพ ชั้นปี 4 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ที่มีความคิดเห็นว่า ตั้งแต่มัธยมก็จะถูกทำให้คิดว่าต้องเรียนสายวิทย์ หากยังไม่พบทางของตนเองก็มักเลือกสายนี้ก่อน ทั้งที่ไม่ได้สนใจจริง
"วิธีแก้ปัญหาเด็กหลงทางในการค้นหาตัวตน คือการค้นหาตัวเองให้เจอตั้งแต่เด็ก" ชุติมาย้ำ
ขณะที่ พงศธร อาชวพงศกร ผู้ก่อตั้ง Visualize Lab กล่าวว่า เด็กจะหลงทางตั้งแต่การเลือกในวัยมัธยม ทั้งเลือกสายเรียน เลือกบริษัทฝึกงาน ไปจนถึงบริษัทแรกที่เข้าทำงาน ซึ่งหลงในที่นี้คือการไม่ได้แสดงศักยภาพของตัวเองได้อย่างถูกจุด
"การค้นหาทางที่ใช่ คือเริ่มจากการลองผิดลองถูกเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้ จึงควรหาโอกาสให้กับตนเองได้ทำสิ่งต่างๆ ให้มากเข้าไว้" พงศธรกล่าว
ลองร่วมค้นหาตัวตนที่ใช่ได้ในงานนี้ ซึ่งจะจัดกิจกรรมฟังบรรยายลักษณะการทำงานเพื่อให้เกิดการต่อยอดความคิด ดูนิทรรศการเส้นทางสายอาชีพสร้างสรรค์ รวมทั้งรับคำปรึกษาแนวทางอาชีพในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ณ สโมสรทหารบก สอบถาม www.okmd.or.th/KidKaoNa หรือ 0-2105-6524

ผู้เชี่ยวชาญระบุ ′อ่านเร็ว′ ใช้ไม่ได้ผล

"เอลิซาเบธ ชอตเตอร์" นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ผู้นำทีมนักวิจัยที่ประมวลและวิเคราะห์ผลการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวเนื่องกับเทคนิคในการอ่านหนังสือเร็วแบบต่างๆ ที่ผ่านมาหลายสิบปี เพื่อหาคำตอบว่า เทคนิคดังกล่าวให้ผลอย่างไรต่อการอ่านหรือไม่ สรุปผลการวิจัยดังกล่าวเผยแพร่ออกมาเมื่อเร็วๆ นี้ ยืนยันว่า การไม่ได้ส่งผลดีต่อผู้อ่านแต่อย่างใด
ศ.ชอตเตอร์ระบุว่า หลักฐานทางวิทยาศาสตร์เท่าที่มีทั้งหมดแสดงให้เห็นว่า ความเร็วในการอ่านจะต้องแลกกับความถูกต้องในการอ่าน ยิ่งเร็วมากขึ้นเท่าใด ยิ่งเข้าใจสิ่งที่อ่านได้น้อยลงมากขึ้นเท่านั้น
ทั้งนี้ ข้อมูลของสมาคมวิทยาศาสตร์เชิงจิตวิทยาของสหรัฐระบุว่า เทคโนโลยีเพื่อการอ่านเร็วส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่ลดการเคลื่อนลูกตาของผู้อ่าน ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว การกลอกตาไปมานั้นใช้เวลาเพียงกว่า 10% ของกระบวนการอ่านของคนเราเท่านั้น นอกจากนั้น การลดการกลอกลูกตาไปมาจะส่งผลให้ผู้อ่านไม่ได้ย้อนกลับไปอ่านและตรวจสอบส่วนของข้อความที่ไม่เข้าใจ ส่งผลให้ความเข้าใจในการอ่านแย่ลงนั่นเอง
ความสามารถในการอ่านไม่ได้เกิดจากการมองเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวเนื่องกับขีดความสามารถในการจดจำและเข้าใจถ้อยคำและความสามารถในการประมวลคำต่างๆ เข้าเป็นประโยคที่มีความหมายอีกด้วย
การอ่านเร็วอาจเป็นประโยชน์อยู่บ้างในกรณีที่เป็นเพียงความพยายามทำความเข้าใจข้อความหรือเนื้อหาคร่าวๆ และผู้อ่านคุ้นเคยกับวิธีการเขียน รูปแบบการเขียนจนสามารถรู้ได้ว่าจะเลือกอ่านตรงจุดไหน และข้ามหรืออ่านแบบไม่จับใจความส่วนใดได้บ้าง แต่ยังสามารถทำความเข้าใจถึงเนื้อหาโดยรวมคร่าวๆ อยู่ได้
ซึ่งถือเป็นการ "เลือกอ่าน" ไม่ใช่การ "อ่านเร็ว" แต่อย่างใด

เพลงชาติไทย...ขับร้องโดยเด็กๆ ต่างชาติ น่ารักมากๆ

เพลงชาติไทยมีต้นกำเนิดยังไง ? แล้วเวลาที่เด็กต่างชาติร้องเพลงชาติไทยจะน่ารักขนาดไหนนะ ?
เคยได้ยินประโยคนี้กันรึเปล่า ? “หากคนไทยหันมาฆ่ากันเอง จะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง ?” เอาจริงๆ ประโยคนี้อาจไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เราจะนำมาบอกเล่าให้ฟังกันในวันนี้สักเท่าไหร่ เพียงแต่อยากขยายความให้ชัดเจนว่า เพลงชาติคืออะไร ? มีความสำคัญอย่างไร ?
เพลงชาติ หรือเพลงประจำชาติ หากมองเผินๆ เป็นเหมือนหนึ่งเครื่องมือที่คอยบอกเล่าให้คนในชาติ รัก และเทิดทูนไว้ซึ่งแผ่นดินเกิด แผ่นดินที่เราอยู่อาศัย โดยภายในเนื้อเพลงได้พยายามบอกเล่าวีรกรรมของบรรพบุรุษในชาติ ว่ากว่าจะได้มาซึ่งบ้านเกิดที่ให้เรามีกิน มีสุข พวกเขาต้องผ่านเหตุการณ์ร้ายแรง ผ่านความยากลำบากมาขนาดไหน เราถึงได้ครอบครอง เป็นเจ้าของแผ่นดินร่วมกันดังเช่นในทุกวันนี้ หรือหากมองเป็นความหมายโดยตรง ก็คงเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่ทำให้เราตระหนัก  และระลึกถึงบ้านเกิดเมืองนอนแห่งนี้อยู่เสมอ ไม่ว่าเราจะใช้ชีวิตอยู่บริเวณไหนของโลกใบนี้ก็ตาม ผ่านการเปล่งเสียงร้องร่วมกันจนเป็นประเพณีปฏิบัติที่สมควรกระทำในทุกๆ วัน

ในหลากหลายประเทศทั่วโลกต่างก็มีเพลงประจำชาติเป็นของตนเอง ไม่เว้นแม้แต่บ้านเราที่ก็มี “เพลงชาติไทย ” มาตั้งแต่หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งในสมัยที่ชาติสยามยังปกครองด้วยระบอบ “สมบูรณาญาสิทธิราช” ได้มีการใช้ “เพลงสรรเสริญพระบารมี” เป็นเพลงเพื่อถวายความเคารพกษัตริย์ต่างชาติที่เสด็จเยี่ยมประเทศสยามตามธรรมเนียมสากล จนมาถึงปีพุทะศักราช 2482 รัฐบาลไทยในขณะนั้นได้มีการเปลี่ยนชื่อประเทศ จาก “สยาม” เป็น “ประเทศไทย” จึงมีความจำเป็นที่จะต้องแก้ไขเพลงประจำชาติไทยใหม่ โดยเปิดให้มีการส่งเนื้อเพลงชาติเข้าประกวด มีหลักการอยู่ว่าต้องแต่งให้เข้าทำนองของเพลงชาติฉบับเดิม ซึ่งในการยื่นประกวดแต่งเนื้อร้องครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก จนในที่สุดคณะกรรมการได้ตัดสินคัดเลือกเนื้อร้องของ “หลวงสารานุประพันธ์” นำเสนอเข้าสู่คณะรัฐมนตรีเพื่อวินิจฉัย ไม่นานจึงมีมติรับเนื้อเพลงใหม่นี้ และได้รับแก้ไขบ้างในบางช่วงตามความเหมาะสม 
เพลงชาติไทย

เพลงชาติไทย


ในวันที่ 10 ธันวาคม พุทธศักราช 2482 รัฐบาลได้ออกประกาศ “รัฐนิยมฉบับที่ 6” ให้ใช้ทำนองเพลงชาติของ“พระเจนดุริยางค์” ตามแบบฉบับเดิมที่กรมศิลปากร ส่วนเนื้อร้องให้ใช้ของ “หลวงสารานุประพันธ์” ซึ่งประพันธ์ทั้งหมดขึ้นใหม่ในนามของ “กองทัพบก” จึงกลายมาเป็นแบบฉบับที่เราได้ฟัง ได้ร้องกันอยู่ในทุกวันนี้ ..

เนื้อเพลง
ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย

เป็นประชารัฐ ไผทของไทยทุกส่วน

อยู่ดำรงค งไว้ได้ทั้งมวล

ด้วยไทยล้วนหมาย รักสามัคคี

ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด

เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่

สละเลือดทุกหยาดเป็นชาติพลี

เถลิงประเทศชาติไทยทวี มีชัย ชโย

มาลองฟังเด็กๆต่างชาติร้องเพลงชาติไทยกันบ้าง

เด็กม้งร้องเพลงชาติไทยน่ารักสุดๆ
เด็กฝรั่งร้องเพลงชาติไทยแบบหล่อๆ
เด็กผู้หญิงญี่ปุ่นร้องร้องเพลงชาติไทยน่ารักจัง
เด็กเกาหลีร้องเพลงชาติไทยน่ารักจริงๆ
จริงๆก่อนหน้านี้ก็มีเนื้อร้องที่ ขุนวิจิตรมาตรา ประพันธ์เริ่มแรกสุดแต่ไม่เป็นทางการ และ เป็นฉบับต้องห้าม ก่อนที่จะมีการแก้ไขเมื่อมีการประกวดเนื้อเพลงชาติ ฉบับราชการ ใน พ.ศ. 2476 มีดังนี้ 
(โปรดเทียบกับเนื้อร้องฉบับราชการ พ.ศ. 2477 ในหัวข้อ เพลงชาติไทยฉบับ พ.ศ. 2475 และ พ.ศ. 2477)
   แผ่นดินสยามนามประเทืองว่าเมืองทองไทยเข้าครองตั้งประเทศเขตต์แดนสง่า
สืบชาติไทยดึกดำบรรพ์บุราณลงมาร่วมรักษาเอกราษฎร์ชนชาติไทย
บางสมัยศัตรูจู่มารบไทยสมทบสวนทัพเข้าขับไล่
ตะลุยเลือดหมายมุ่งผดุงผะไทสยามสมัยบุราณรอดตลอดมา
   อันดินแดนสยามคือว่าเนื้อของเชื้อไทยน้ำรินไหลคือว่าเลือดของเชื้อข้า
เอกราษฎร์คือเจดีย์ที่เราบูชาเราจะสามัคคีร่วมมีใจ
ยึดอำนาจกุมสิทธิ์อิสสระเสรีใครย่ำยีเราจะไม่ละให้
เอาเลือดล้างให้สิ้นแผ่นดินของไทยสถาปนาสยามให้เทิดชัยไชโย
ขอบคุณข้อมูลจาก วิกิพีเดีย